1. ให้นักศึกษาอธิบาย คำว่า ศีลธรรม จารีตประเพณี และกฎหมาย เหมือนหรือต่างกันอย่างไร
ตอบ
กฏหมายกับศีลธรรม
กฏหมายและศีลธรรมเป็นกฏเกณฑ์ที่กำหนดความประพฤติมนุษย์
แตกต่างกันตรงที่กฎหมายกำหนดพฤติกรรมภายนอกของมนุษย์
หากคิดร้ายในใจกฎหมายก็ยังไม่เข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ศีลธรรมเป็นเรื่องของความรู้สึกภายในใจของมนุษย์
แม้คิดไม่ชอบในใจย่อมผิดศีลธรรมแล้ว
กฎหมายเป็นข้อบังคับของรัฐ มีบทลงโทษทางกฎหมาย
แต่ศีลธรรมเกิดจากความรู้สึกภายในจิตใจของมนุษย์
นอกจากนี้
ศีลธรรมยังไม่มีกฎเกณฑ์ที่แน่นอนตายตัว ว่าจะมีแบบแผนหรือโครงสร้างอย่างไร
คงจะมีแต่เพียงความรู้สึกภายในจิตใจเท่านั้นที่จะเอามาเป็นตัววัดในการตัดสินใจในเรื่องต่างๆ
ซึ่งตรงกันข้ามกับกฎหมายที่มีความชัดเจนแน่นอนอยู่ในตัวเอง
ในส่วนของบทลงโทษก็เช่นกัน
การละเมิดศีลธรรมย่อมไม่มีบทลงโทษที่เป็นผลร้ายในทางเสรีภาพ
หรือในทางทรัพย์สินแต่อย่างใด
จะมีก็แต่การถูกประนามหยาบเหยียดจากบุคคลต่างๆในสังคมเท่านั้น
กฎหมายกับจารีตประเพณี
ความคล้ายคลึงระหว่างจารีตประเพณีและกฎหมาย
คือเป็นข้อบังคับที่กำหนดความประพฤติภายนอกของมนุษย์
ไม่ได้ควบคุมถึงภายในจิตใจเหมือนศีลธรรม โดยกฏหมายรัฐเป็นผู้กำหนดบังคับใช้
มีบทลงโทษตามกฏหมาย แต่จารีตประเพณีประชาชนเป็นผู้กำหนด เช่น เช่นการที่เราพบบุคคลอื่น
อาจจะมีการทักทายกัน หรือการที่เราเข้าไปในวัด ในโบสถ์ จะต้องถอดรองเท้า
หรือจารีตประเพณีในเรื่องของการแต่งงานในเรื่องของการหมั้น
อย่างของไทยเรามีการที่จะต้องไปสู่ขอจากฝ่ายหญิง มีขันหมากมีสินสอด มีของหมั้นไปให้ฝ่ายหญิง
กฎหมายกับจารีตประเพณีก็ยังมีความแตกต่างกันอยู่ในแง่ของความชัดเจนในการกำหนดกฎเกณฑ์
และวิธีการในการลงโทษผู้ฝ่าฝืน ในเรื่องความชัดเจนนั้น
เป็นที่แน่นอนว่ากฎหมายย่อมมีความชัดเจนในการกำหนดแบบแผนความประพฤติของบุคคลมากกว่าจารีตประเพณีอย่างแน่นอน
เนื่องจากกฎหมายจะมีลักษณะเป็นลายลักษณ์อักษร
จึงทำให้ประชาชนสามารถรับรู้ได้ว่าสิ่งใดสามารถทำได้ และสิ่งใดไม่สามารถทำได้
ตรงกันข้ามกับจารีตประเพณีที่มีเพียงแต่การปฏิบัติสืบต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่นเท่านั้น
ไม่มีการกำหนดจารีตประเพณีไว้เป็นลายลักษณ์อักษรแต่อย่างใด จึงเป็นการยากที่บุคคลนอกท้องถิ่น
จะรู้และเข้าใจได้ว่า
ชุมชนนั้นมีจารีตประเพณีที่ถือเป็นหลักในการประพฤติปฏิบัติไว้อย่างไรบ้าง
ในส่วนของการลงโทษนั้นก็มีความแตกต่างกัน คือ
กฎหมายจะมีบทลงโทษที่ชัดเจนแน่นอนตามที่กฎหมายได้กำหนดเอาไว้
ซึ่งส่วนใหญ่บทลงโทษจะเป็นผลร่ายแก่ผู้ฝ่าฝืนในแง่ของเสรีภาพ(ติดคุก) หรือ
ทรัพย์สินเท่านั้น(ชดใช้ค่าเสียหาย)
จะมีแค่ความผิดในบางกรณีเท่านั้นที่อาจจะถูกประนามหยามเหยียดจากสังคม
แต่ในส่วนของจารีตประเพณีนั้นแน่นอนว่าขนาดแบบแผนความประพฤติยังไม่มีเป็นลายลักษณ์อักษร
บทลงโทษจากการฝ่าฝืนย่อมไม่มีเป็นลายลักษณ์อักษรเช่นกัน
นอกจากนี้บทลงโทษทางจารีตประเพณีส่วนใหญ่ก็ไม่ได้มีผลร้ายในทางเสรีภาพ
หรือทางทรัพย์สินเฉกเช่นกฎหมายแต่อย่างใด
จะมีก็แต่การถูกประนามหยามเหยียดจากคนในท้องถิ่นด้วยกันเอง
และหากเป็นกรณีที่เป็นการฝ่าฝืนอย่างร้ายแรง ผู้ฝ่าฝืนก็อาจถูกขับไล่ออกจากหมู่บ้านหรือชุมชนนั้นได้
เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่า จารีตประเพณี ศาสนา
หรือศีลธรรมจะมีความแตกต่างกับกฎหมายมากน้อยแค่ไหน
แต่สิ่งที่เป็นหัวใจสำคัญเลยก็คือ
สิ่งต่างๆเหล่านี้ล้วนเป็นเครื่องมือที่ทำให้มนุษย์ในสังคมประพฤติตน
หรือกระทำสิ่งต่างๆ ในทางทีดีที่งาม เพื่อความสุขกายสบายใจของตัวผู้ปฎิบัติเอง
และเพื่อความสงบเรียบร้อย และความปลอดภัยของบุคคลต่างๆในสังคมเป็นสำคัญ
2. คำว่าศักดิ์ของกฎหมาย คืออะไร มีการจัดอย่างไร โปรดยกตัวอย่าง
รัฐธรรมนูญ คำสั่งคณะปฏิวัติ คำสั่งคสช.
พระราชกำหนด พระราชกฤษฎีกา พระราชบัญญัติ เทศบัญญัติ พระบรมราชโองการ กฎกระทรวง (5 คะแนน)
ตอบ
“ศักดิ์ของกฎหมาย” เป็นการจัดลำดับแห่งค่าบังคับของกฎหมายหรืออาจกล่าวได้ว่าอาศัยอำนาจขององค์กรที่ใช้อำนาจจากองค์กรที่แตกต่างกัน
ในการจัดลำดับจะต้องอาศัยหลักว่า กฎหมายหรือบทบัญญัติใดของกฎหมายที่อยู่ในลำดับต่ำกว่า
จะขัดหรือแย้งกับกฎหมายในลำดับที่สูงกว่าไม่ได้
โดยพิจารณาจากองค์กรที่มีอำนาจใจการออกกฎหมาย โดยใช้เหตุผลที่ว่า
(1)
การออกกฎหมายโดยฝ่ายนิติบัญญัติ ควรจะเป็นกฎหมายเฉพาะที่สำคัญ
เป็นการกำหนดหลักการและนโยบายเท่านั้น เช่น พระราชบัญญัติที่ออกโดยรัฐสภาซึ่งเป็นตัวแทนของปวงชน
(2) การให้รัฐสภา
เป็นการทุ่นเวลา และทันต่อความต้องการและความจาเป็นของสังคม
(3) ฝ่ายบริหารหรือองค์กรอื่นจะออกกฎหมายลูกจะต้องอยู่ในกรอบของหลักการและนโยบายในกฎหมายหลักฉบับนั้น
การจัดลำดับความสำคัญตามศักดิ์ของกฎหมาย
(Hierarchy of laws) มีดังนี้
1.
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
เป็นกฎหมายหลักที่ให้หลักประกันแก่ประชาชน
หากมีกฎหมายใดออกมาขัดแย้งกับกฎหมายรัฐธรรมนูญไม่ได้
กฎหมายนั้นย่อมไม่มีผลใช้บังคับ
ซึ่งเป็นกฎหมายแม่บทที่ยึดหลักในการปกครองและบริหารประเทศ
ตอบสนองและสอดคล้องนโยบายที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ
แต่อย่างไรก็ตามยังมีกฎข้อบังคับอีกรูปแบบหนึ่งในทางวิชาการและในทางที่ปฏิบัติที่ถือว่าเป็นกฎหมาย
คือ ประกาศของคณะปฏิวัติ บางครั้งเรียกว่า
คำสั่งคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินออกโดยหัวหน้าคณะปฏิวัติและไม่มีการลงปรมาภิไธย
ให้ยกเลิกรัฐธรรมนูญย่อมมีศักดิ์เท่ากับรัฐธรรมนูญ
ประกาศของคณะปฏิวัติที่แก้ไขเพิ่มเติมหรือยกเลิก พระราชบัญญัติหรือพระราชกำหนด
ให้มีศักดิ์ตามที่แก้ไขเพิ่มเติมหรือยกเลิกที่แก้ไขดังกล่าว
2.
พระราชบัญญัติและประมวลกฎหมาย
เป็นกฎหมายที่ผ่านกระบวนการนิติบัญญัติโดยความเห็นชอบของรัฐสภา
ที่เป็นตัวแทนของประชาชน และพระมหากษัตริย์ที่ได้ลงพระปรมาภิไธยใช้บังคับกฎหมาย
เป็นกฎหมายที่ออกตามปกติธรรมดา ได้แก่ พระราชบัญญัติ
เป็นกฎหมายที่พระมหากษัตริย์ทรงตราขึ้นโดยคำแนะนำยินยอมของรัฐสภา
เป็นกฎหมายที่มีความสำคัญรองลงมาจากรัฐธรรมนูญ หากเกี่ยวพันหลายเรื่อง
ออกในรูปประมวลกฎหมายก็ได้ เช่น ประมวลกฎหมายอาญา ประมวลกฎหมายที่ดิน
ประมวลกฎหมายรัษฎากร เป็นต้น สำหรับประมวลกฎหมายเหล่านี้เมื่อร่างเสร็จจะต้องมีพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายฉบับนั้นๆอีกครั้งหนึ่ง
3 พระราชกำหนด
เป็นกฎที่พระมหากษัตริย์ทรงตราขึ้นโดยอาศัยอำนาจตามรัฐธรรมนูญและทรงตราขึ้นตามคำแนะนำคณะรัฐมนตรีเฉพาะในกรณีที่มีเหตุผลกรณีเร่งด่วนหรือภาวะฉุกเฉินในการรักษาความปลอดภัยความมั่นคง
หรือรักษาผลประโยชน์ของประเทศ เช่น คำสั่งคณะปฏิวัติ คำสั่งคสช. เมื่อตราแล้วจะต้องนำเสนอต่อรัฐภายในระยะเวลาอันสั้น
(2-3 วัน)
ถ้าสภาอนุมัติพระราชกำหนดก็กลายสภาพเป็นกฎหมายเสมือนพระราชบัญญัติ
ถ้าไม่อนุมัติมีอันตกไปไม่มีผล
4.ประกาศพระบรมราชโองการให้ใช้บังคับดังเช่นพระราชบัญญัติรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันไม่ได้มอบอำนาจให้พระมหากษัตริย์ทรงออกกฎหมายในรูปพระบรมราชโองการได้แต่ในรัฐธรรมนูญฉบับก่อนๆให้พระราชอำนาจไว้มีลักษณะคล้ายคลึงกับพระราชกำหนดใช้ในยามที่มีสถานะสงครามหรือในภาวะขับขัน
อาจเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ และการใช้อำนาจนิติบัญญัติทางรัฐสภาขัดข้องหรือไม่เหมาะสมกับสถานการณ์
เช่น พระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งรัฐมนตรี
5.พระราชกฤษฎีกา
เป็นกฎหมายที่มหากษัตริย์ทรงตราขึ้นโดยคำแนะนำของคณะรัฐมนตรีหรือเป็นกฎหมายอื่นที่ฝ่ายบริหารได้ออกโดยอาศัยอำนาจแห่งกฎหมายและพระราชกฤษฎีกาจึงมีศักดิ์ตำกว่าพระราชบัญญัติพระราชกำหนดและประกาศพระบรมราชโองการและจะขัดกับกฎหมายที่มีศักดิ์สูงกว่าไม่ได้ยังมีพระราชกฤษฎีกาบางประเภทที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามรัฐธรรมนูญเช่นพระราชกฤษฎีกาเปิดหรือปิดสมัยประชุมสภา
พระราชกฤษฎีกายุบสภามีความสำคัญมากกว่าพระราชกฤษฎีกาที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติดังกล่าวข้างต้น
6.กฎกระทรวง เป็นกฎหมายที่รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัติหรือพระราชกำหนดเป็นผู้ออก
เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปตามกฎหมายหลักในเรื่องนั้นๆเป็นการออกกฎกระทรวงโดยฝ่ายบริหารเช่นเดียวกับพระราชกฤษฎีกา
ต่างกับพระราชกฤษฎีกาตรงที่ว่าเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าสำคัญรองลงมา ก็ออกเป็นกฎกระทรวง
เป็นกฎหมายที่ออกตามกฎหมายแม่บท นอกจากกฎกระทรวง หากจะกำหนดกฎเกณฑ์ในทางปฏิบัติ
จะออกระเบียบ ข้อบังคับ หรือประกาศ เพื่อความสะดวกในการบริหารงานได้อีกด้วย
7.เทศบัญญัติ เป็นกฎหมายออกตามพระราชบัญญัติเทศบาล
การแบ่งองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นเป็น3 ระดับคือ เทศบาลตำบล
เทศบาลเมือง และเทศบาลนคร ซึ้งอาศัยความหนาแน่นของประชากรตามที่ประราชบัญญัติกำหนด
3. แชร์กันสนั่น
ครูโหดทุบหลังเด็กซ้ำ เหตุอ่านหนังสือไม่ได้
ตามรายงานระบุว่า ผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ "กวดวิชา เตรียมทหาร" ได้แชร์ภาพและข้อความที่เกิดขึ้นกับเด็กชายคนหนึ่ง
ภาพดังกล่าวเผยให้เห็นสภาพแผ่นหลังของเด็กที่มีรอยแดงช้ำ
โดยเจ้าของภาพได้โพสต์ไว้ว่า
"วันนี้...ลูกชายวัย 6 ขวบ อยู่ชั้น ป.1 ถูกครูที่โรงเรียนตีหลังมา
สภาพแย่มาก..(เหตุผลเพราะอ่านหนังสือไม่ค่อยได้) ซึ่งคนเป็นแม่อย่างเรา
เห็นแล้วรับไม่ได้เลย มันเจ็บปวดมาก...มากจนไม่รู้จะพูดอย่างไรดี
น้ำตาแห่งความเสียใจมันไหลไม่หยุด ถ้าเลือกได้ก็อยากจะเจ็บแทนลูกซะเอง
พาลูกไปหาหมอ หมอบอกว่า แผลที่ร่างกายเด็กรักษาหายได้
แต่แผลที่จิตใจเด็กที่ถูกทำร้าย โดนครูทำแบบนี้ มันยากที่จะหาย บาดแผลนี้มันจะติดที่..หัวใจ..ของน้องตลอดไป"
จากข้อความดังกล่าวในฐานะนักศึกษาเรียนวิชากฎหมายการศึกษาคิดอย่างไรที่จะไม่ให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว
ซึ่งทุกคนจะต้องไปเป็นครูในอนาคตอันใกล้นี้ ให้อภิปรายแสดงความคิดเห็นปรากฏการดังกล่าวนี้
ตอบ ในฐานะที่ดิฉันเป็นนักศึกษาคณะครุศาสตร์
ซึ่งเรียนวิชากฎหมายการศึกษา และก็จะไปเป็นครูในอนาคตนั้น ดิฉันคิดว่า
ครูได้ลงโทษนักเรียนรุนแรงเกินไป โดยครูได้ตีหลังของนักเรียนชายวัย 6
ขวบ ซึ่งสภาพแผ่หลังนั้นมีรอยช้ำแดง
ซึ่งสาเหตุที่ตีนั้นเพราะเพียงว่านักเรียนอ่านหนังสือไม่ค่อยได้
การลงโทษแบบนี้เป็นการลงโทษที่ไม่ถูกวิธี
เพราะการตีแผ่นหลังนักเรียนไม่ได้ช่วยให้นักเรียนอ่านหนังสือได้คล่อง
อีกทั้งยังเป็นการทำให้นักเรียนนั้นไม่อยากที่จะฝึกอ่านหนังสือต่อไปอีกเลย หากนั้นนักเรียนคนใดอ่านไม่ค่อยออก
ครูควรสอนนักเรียนตัวต่อตัว หรือไม่ก็เรียนนักเรียนมาฝึกอ่านในเวลาว่าง
เพื่อเป็นการแข้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ ไม่ใช่แก้ปัญหาที่ปลายเหตุโดยการทุบตี
ครูควรคิด
ไตร่ตรองก่อนที่จะลงโทษนักเรียน ว่าถ้าลงโทษแบบใดจึงจะเหมาะสมที่สุด ไม่ใช่อารมณ์ในการลงโทษ
ครูควรคำนึงถึงระเบียบ กระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการลงโทษนักเรียนและนักศึกษาด้วย
ซึ่งระเบียบของกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการลงโทษนักเรียนและนักศึกษาพ.ศ. 2548
ได้กำหนดวิธีการลงโทษไว้ซึ่งจะนำมากล่าวถึงในประเด็นที่เป็นสาระสำคัญดังนี้
ข้อ
4. ...“การลงโทษ” หมายความว่า การลงโทษนักเรียนหรือนักศึกษาที่กระทำความผิด
โดยมีความมุ่งหมายเพื่อการอบรมสั่งสอน
ข้อ
6 ห้ามลงโทษนักเรียนและนักศึกษาด้วยวิธีรุนแรง หรือแบบกลั่นแกล้ง
หรือลงโทษด้วยความโกรธ หรือด้วยความพยาบาท
โดยให้คำนึงถึงอายุของนักเรียนหรือนักศึกษา
และความร้ายแรงของพฤติการณ์ประกอบการลงโทษด้วย
การลงโทษนักเรียนหรือนักศึกษาให้เป็นไปเพื่อเจตนาที่จะแก้นิสัยและความ
ประพฤติไม่ดีของนักเรียนหรือนักศึกษาให้รู้สำนึกในความผิด และกลับมาประพฤติตนในทางที่ดีต่อไปให้ผู้บริหารโรงเรียนหรือสถานศึกษา
หรือผู้ที่ผู้บริหารโรงเรียนหรือสถานศึกษามอบหมายเป็นผู้มีอำนาจในการลงโทษ
นักเรียน นักศึกษา
ถ้าข้าพเจ้าเป็นครูแล้วเจอสถานการณ์แบบนี้
ข้าพเจ้าจะไม่ว่ากล่าวโดยใช้คำพูดที่รุนแรง หรือทุบตีนักเรียน
แต่ข้าพเจ้าจะถามถึงสาเหตุว่าทำไมนักเรียนจึงอ่านหนังสือไม่ค่อยได้ ตอนเรียนได้ตั้งใจเรียนหรือเปล่า
เข้าใจที่ครูสอนไหม กลับไปบ้านได้ทบทวนสิ่งที่ได้เรียนมาไหม
และก็จะบอกนักเรียนว่าถ้าหากนักเรียนไม่เข้าใจ หรือมีข้อสงสัยอะไรก็สามารถมาถามครูได้
และถ้านักเรียนมีเวลาว่างให้นักเรียนมาเรียนเสริมกับครู เพราะข้าพเจ้าคิดว่าความรุนแรงไม่ได้ช่วยทำให้นักเรียนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้
แต่สิ่งที่จะทำได้คือหาสาเหตุของพฤติกรรมนั้นแล้วนำมาแก้ไขให้ดีขึ้น
4. ให้นักศึกษา สวอท.ตัวนักศึกษาว่าเราเป็นอย่างไร
ตอบ
วิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน
อุปสรรคของตนเองในด้านการเรียน
จุดแข็ง (S)
1. เวลาอาจารย์สอน
จะคิดตามสิ่งที่อาจารย์พูด ตั้งใจเรียน
2. มาเรียนตรงเวลา
3. เตรียมเอกสาร
เนื้อหาก่อนมาเรียน
4. มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันในห้องเรียน
ทำให้มีแนวคิดมุมมองใหม่ๆ ในการเรียนเพิ่มขึ้น
5. รับผิดชอบงานที่อาจารย์สั่ง
หากไม่ได้เข้าเรียน ก็จะสอบถามเพื่อนหรือสอบถามอาจารย์ว่าตนเองมีงานค้างอะไรบ้าง
แล้วก็จะทำส่งย้อนหลัง
6. ถ้ามีข้อสงสัยก็จะสอบถามเพื่อนหรืออาจารย์ก่อนที่จะตัดสินใจทำ
เพื่อให้เกิดความผิดพลาดน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
จุดอ่อน (w)
1. ชอบผัดวันประกันพรุ่ง
ชอบทำการบ้านก่อนวันที่จะส่ง จึงทำให้นอนดึก
2. ตัดสินใจไม่เด็ดขาด
ลังเลใจ จึงทำให้เสียโอกาสในบางครั้ง
3. ไม่ค่อยรอบคอบ
4. เรียนหรืออ่านอะไรไปแล้วถ้าไม่ทบทวนจะลืม
5. บางครั้งไม่เข้าในเนื้อหาในวิชาที่เป็นทฤษฎี
ต้องทำความเข้าใจเป็นเวลานานจึงจะเข้าใจ
6. ไม่ค่อยชอบอ่านหนังสืออย่างสม่ำเสมอ
จะอ่านเฉพาะเวลาสอบเท่านั้น
โอกาส (o)
1. สามารถนำทฤษฎีที่เรียนมาปรับใช้กับชีวิตประจำวันได้อย่างเหมาะสม
2. อาจารย์อธิบายเนื้อหาได้ชัดเจนและเน้นย้ำสิ่งที่สำคัญเสมอ
ซึ่งทำให้ดิฉันสามารถจดจำเนื้อหาส่วนที่สำคัญได้
3. สามารถถามอาจารย์ในสิ่งที่ไม่เข้าและอาจารย์จะตอบคำถามให้อีกครั้งอย่างชัดเจน
โดยปราศจากข้อสงสัย
4. มีประสบการณ์การทำงานร่วมกับผู้อื่นในกลุ่ม
สามารถทำงานกลุ่มได้ดี ชอบช่วยเหลือเพื่อน
อุปสรรค (T)
1.จำเนื้อหาที่เกี่ยวกับทฤษฎีไม่ค่อยได้
2. มีกิจกรรมระหว่างเรียนทำให้เนื้อหาที่เรียนไม่ต่อเนื่องกัน
ทำให้บางครั้งลืมเนื้อหาที่เรียนและไม่เข้าใจเนื้อหาที่เรียน
3. ต้องใช้เวลาทำความเข้าใจบทเรียนเป็นเวลานานในเรื่องที่เนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับทฤษฎี
ทำให้ไม่ทันเพื่อนในบางครั้ง
5.
ให้นักศึกษาวิจารณ์อาจารย์ผู้สอนวิชานี้ในประเด็นการสอนเป็นอย่างไร บอกเหตุผล
มีข้อดีและข้อเสีย
ตอบ จากการที่ได้เรียนวิชากฎหมายและการประกันคุณภาพการศึกษากับอาจารย์อภิชาติ
วัชรพันธ์ ซึ่งอาจารย์ก็มีข้อดีและข้อเสียในประเด็นการสอนดังนี้
ข้อดี
:
1. อาจารย์ได้สอนนักเรียนโดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
เน้นให้ผู้เรียนไปศึกษาเนื้อหาความรู้ด้วยตัวเองนอกห้องเรียน
มากกว่าอาจารย์บรรยายในห้องเรียน
2. อาจารย์ให้นักศึกษาได้นำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้กับการเรียน
โดยอาจารย์ได้นำบล็อกเกอร์ (Blogger) มาใช้ในการสอนนักศึกษา
ให้นักศึกษาทำการบ้านส่งอาจารย์ผ่านบล็อกเกอร์ ซึ่งการสอนโดยใช้บล็อกเกอร์นี้จะทำให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเองตลอดเวลา
สามารถเรียนรู้ได้ทุกที่ ไม่เฉพาะในห้องเรียน และหากวันใด อาจารย์ไม่ได้สอน
อาจารย์ก็จะสั่งงานและเรียนผ่านบล็อกเกอร์ ซึ่งนักศึกษาจะได้เรียนรู้ได้โดยไม่ต้องเข้าเรียน
3. อาจารย์จะให้นักเรียนไปศึกษาหัวข้อที่ได้รับมอบหมายแล้วนำมานำเสนอให้เพื่อนๆฟัง
ซึ่งเป็นการเรียนโดยการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน
4. หากมีข้อสงสัยในเนื้อหาที่เรียนอาจารย์ก็จะตอบคำถามนักศึกษาอย่างละเอียด
5. อาจารย์เข้าสอนตรงเวลา
เป็นแบบอย่างที่ดีของนักศึกษา
ข้อเสีย
1.
ในบางครั้งเนื้อหาที่เกี่ยวกับกฎหมายที่ให้นักศึกษาได้ศึกษาด้วยตนเองนั้นมีจำนวนมาก
ซึ่งต้องใช้เวลาการศึกษานาน
2.
บางครั้งการในการสอนผ่านบล็อกเกอร์จะต้องใช้อินเทอร์เน็ต แต่ในบางครั้งคอมพิวเตอร์ของนักศึกษาอินเทอร์เน็ตก็เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตไม่ได้
ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการเรียนการสอนในบางครั้ง